top of page

CCCL จับมือ UNDP จัดฉายหนังสั้นที่พิพิธตลาดน้อยภายใต้ BKKCAW

เมื่อช่วงวันหยุดของวันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา UNDP ได้จัดกิจกรรม “วาดโลกที่ฝัน รันเมืองที่รัก Draw your climate action, run your cities with your voices” ภายใต้งาน Bangkok Climate Action Week (BKKCAW) ที่พิพิธตลาดน้อย



ในงานประกอบด้วยกิจกรรมการนำเสนอแนวทางการรับมือโลกรวนจากโครงการ Youth Climate Box Contest จากเยาวชนจำนวน 9 โรงเรียน นอกจากนี้ ภายในบริเวณพื้นที่พิพิธตลาดน้อยยังมีกิจกรรมวาดโลกที่ฝัน บอกเมืองให้รู้ ซึ่งผู้เข้าร่วมกิจกรรมต่างให้ความสนใจมาร่วมกันวาดอนาคตเมืองกรุงเทพฯ บนผืนผ้าใบและท่อจำลองกันอย่างคับคั่ง รวมไปถึงมีบูธเวิร์คช็อปทำยาดม พวงกุญแจจากฝาพลาสติด และตลาดเล็ก ๆ ให้ผู้คนได้จับจ่ายใช้สอย ทั้งเครื่องดื่มและของที่ระลึกต่าง ๆ และยังมีวงดนตรีอะคูสติกร่วมร้องบรรเลงเพลงผ่อนคลายในช่วงพักของงานอีกด้วย


แม้ว่าจะมีฝนตกมาบ้างประปรายแต่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมก็ยังเดินทางเข้ามากันอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งท่ามกลางบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยาและพระอาทิตย์กำลังตกในช่วงเย็น มีวงเสวนา “พัก(ร้อน)ล้อมวงคุยโลกรวน (Climate Screen Talk: Framing Resilient Futures)” ซึ่งมีทั้งผู้แทนจากภาครัฐ ตัวแทนจากเยาวชน ภาคประชาสังคม และองค์กรเพื่อสังคมร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองซึ่งกันและกัน


ree

ต่อจากนั้นเป็นช่วงการฉายหนังสั้นจาก CCCL และผลงานที่กำกับโดย CCCL Alumnus ใน “พัก(ความ)ร้อนด้วย 4 เรื่องที่อยากเล่าให้ดู” ได้แก่


1. ความฝันของม้ะ (‘MAA’--THE MOTHER’S DREAM) โดย กิตติคุณ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา (CCCL Alumnus) 

หนึ่งวันของ ‘ก๊ะน๊ะ’ กับการเป็นแม่ในวันที่อ่าวปัตตานีเปลี่ยนไป


2. STARS ON THE SEA โดย JANG SEUNG-WOOK

มันก็เป็นเพียงวันธรรมดาอีกวันที่น้ำท่วมเจิ่งนองไปทั่วบ้าน


3. ชาวนานักวิจัย (THE FARMER) โดย สิริธารณ์ เลาวกุ

เชง คือ นักการเมืองท้องถิ่นรุ่นใหม่ที่จังหวัดนครสวรรค์ เมืองต้นกำเนิดแม่น้ำเจ้าพระยา เธอเคยประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต ปี 2554 น้ำท่วมบ้านของเธอ และชาวเมืองนครสวรรค์นานนับเดือน ในฐานะช่างภาพสารคดี ในคราบนักการเมืองท้องถิ่น เชงออกสำรวจเรื่องราวของกลุ่มชาวนาที่พยายามปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ทนต่อสภาพอากาศแปรปรวน ความแห้งแล้ง และทนต่อน้ำท่วมขัง ทว่าความพยายามของคนกลุ่มนี้กลับเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศ ซึ่งถ้ารัฐบาลดำเนินคดีกับชาวนานักปรับปรุงพันธุ์ข้าวกลุ่มนี้ ทุกคนจะติดคุก!


4. เปลวไฟในเมือง (URBAN FLAMES) โดย อฏวี โฆษิตปฏิพัทธ์

สารคดีที่จะพาคุณไปรับฟังเสียงจากผู้คนแทบทุกวัยในชุมชนแออัดย่านคลองเตยที่ต้องอดทนใช้ชีวิตอย่างยากลำบากท่ามกลางความอบอ้าวของเปลวแดดในฤดูร้อนของเมืองกรุง ชีวิตที่แร้นแค้น ความจำกัดจำเขี่ยของทรัพยากร รวมไปถึงความพยายามในการหยัดยืนขึ้นใหม่หลังเหตุอัคคีภัยที่เผาทำลายบ้านเรือนของผู้คนเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา


ree

ปิดท้ายกิจกรรมด้วยวงเสวนา “ถาม-ตอบกับผู้กำกับสารคดีหลังดูเรื่องที่อยากเล่าให้ฟัง (Brown Bag Post-Screening Talk)” ซึ่งมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ คุณกิตติคุณ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ผู้กำกับสารคดี เรื่อง ความฝันของม๊ะ, คุณอฏวี โฆษิตปฏิพัทธ์ ผู้กำกับสารคดี เรื่อง เปลวไฟในเมือง, คุณเรวดี ประเสริฐเจริญสุข ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมี ดร. บุษกร สุริยสาร ผู้อำนวยการมูลนิธิต้นกล้ารักษ์โลกและหัวหน้าทีม CCCL เป็นผู้ชวนเสวนาในครั้งนี้


สรุปการเสวนา:

คุณอ๊อด ดร. บุษกร สุริยสาร ได้เปิดวงสนทนาด้วยการถามถึงแรงบันดาลใจในการทำสารคดีของผู้กำกับทั้งสองท่าน โดยคุณอะตอม อฏวี โฆษิตปฏิพัทธ์ ผู้กำกับสารคดีเรื่อง “เปลวไฟเมือง” ได้เล่าถึงแรงบันดาลใจว่า ที่ผ่านมาคุณอะตอมไม่เคยทำสารคดีมาก่อน และที่ตัดสินใจทำสารคดีเรื่องนี้เพราะว่าเกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดในกรุงเทพ ซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง 41-43 องศาเซลเซียส และในวันที่ 26 เมษายน 2024 ก็เกิดเหตุไฟไหม้ที่คลองเตยตามข่าวที่ปรากฏ ทำให้เกิดความสนใจว่า “ผู้คนที่ขาดโอกาส” หรือ "ตกหล่นจากสังคม" ในพื้นที่อย่างคลองเตย รับมือกับความร้อนสุดขั้วและเหตุการไฟไหม้นี้นี้อย่างไร


ree
"มันเริ่มจากตัวผมเองที่รู้สึกว่าเมื่อปีที่แล้วมันร้อนมาก แบบร้อนมาก ๆ แล้วผมสนใจตรงนี้ว่า คนในชุมชนคลองเตยที่เป็นชุมชนแออัด เขาอยู่กับสภาพอากาศที่ร้อนจัดขนาดนี้ยังไง" - อฏวี โฆษิตปฏิพัทธ์ ผู้กำกับสารคดี เปลวไฟเมือง

ซึ่งคุณอะตอมตระหนักว่า "คนที่มีข้อจำกัดในการอยู่อาศัย" และ "ไม่ค่อยมีใครรับฟังเสียง" คือคนกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยตรงและรุนแรงที่สุด คุณอะตอมยังกล่าวถึงความขัดแย้งว่าในขณะที่ตัวเองนั่งตัดต่อสารคดีเรื่องนี้ในห้องแอร์ แต่ผู้คนในสารคดีกลับต้องเผชิญกับความร้อนและยากลำบากในชีวิตจริง


"มันรู้สึกขัดแย้งมากตรงที่ ในขณะที่ผมนั่งตัดต่อสารคดีเรื่องนี้ในห้องแอร์ แต่ผู้คนในสารคดีเขากำลังลำบากกันมาก” - อฏวี โฆษิตปฏิพัทธ์ ผู้กำกับสารคดี เปลวไฟเมือง

ในขณะเดียวกันคุณคิว กิตติคุณ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ผู้กำกับสารคดีเรื่อง “ความฝันของม้ะ” ก็ได้แบ่งปันถึงแรงบันดาลใจที่ทำสารคดีเรื่องนี้ว่า เริ่มต้นจากโจทย์กว้างๆ ในการเล่าเรื่องผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในพื้นที่อ่าวปัตตานี ซึ่งมีปัญหาหลากหลายมิติ แต่คุณคิวเลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่ “มิติของครอบครัว” เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่เข้าถึงและสะท้อนใจผู้ชมได้ง่ายที่สุด โดยคุณคิวต้องการแสดงให้เห็นว่าผลกระทบที่ดูเหมือนอยู่ไกลตัวนั้น แท้จริงแล้วส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชีวิตของผู้คน ผ่านเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่กำลัง "แตกสลาย" โดยมี "แม่" เป็นศูนย์กลางของการต่อสู้กับปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้น 


และยังมีเรื่องที่สะเทือนใจคุณคิวในระหว่างลงพื้นที่ถ่ายทำ มีชาวบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาจับมือแล้วถามว่า "คุณเรียนมาสูงกว่าเราตั้งเยอะ คุณบอกเราหน่อยว่าเราทำยังไงดีให้เราดีขึ้น" คำถามนี้ทำให้เขารู้สึกว่าหน้าที่ของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการ ส่องแสง ไปยังปัญหาของพวกเขา แม้จะไม่รู้คำตอบ แต่ตั้งใจจะทำหนังให้ดีที่สุดเพื่อให้มีคนเห็นว่า "มีมะอยู่ตรงนั้น"


ree
“มีชาวบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาจับมือแล้วถามว่า 'คุณเรียนมาสูงกว่าเราตั้งเยอะ คุณบอกเราหน่อยว่าเราทำยังไงดีให้เราดีขึ้น' ผมตอบเขาไปตรง ๆ ว่า 'ผมไม่รู้ครับ' แต่ผมรู้ว่าผมจะตั้งใจจะทำหนังเรื่องนี้ให้ดีที่สุดเพื่อให้แสงส่องมาถึงพวกเขาให้ได้” - กิตติคุณ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ผู้กำกับสารคดี ความฝันของม้ะ

บทบาทของภาพยนตร์ในการสร้างความตระหนักรู้และขับเคลื่อนสังคม

ผู้ร่วมเสวนาได้พูดถึงถึงศักยภาพของภาพยนตร์ที่สามารถเป็นได้มากกว่าความบันเทิง ภาพยนตร์สามารถเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงได้


  • จุดเริ่มต้นของการสนทนา: คุณคิว ระบุว่าเป้าหมายสูงสุดของเขาคือการทำให้ภาพยนตร์เป็นจุดเริ่มต้นของการพูดคุย ไม่ว่าจะเป็นวงเล็กหรือวงใหญ่ หากภาพยนตร์สามารถทำให้คนสองคนคุยกันถึงปัญหานี้ และนำไปสู่การพูดคุยในครอบครัวหรือชุมชนต่อ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว


  • การส่องแสงให้กลุ่มคนเปราะบาง: คุณเรวดี ชื่นชมผู้กำกับทั้งสองที่เลือกนำเสนอประเด็นของ "กลุ่มคนเปราะบาง กลุ่มคนที่โลกมองไม่เห็น กลุ่มคนที่นโยบายรัฐไม่เคยเข้าไปถึง" ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่มักมุ่งเน้นผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ


  • เชื่อมช่องว่างความเข้าใจ: การเสวนาชี้ให้เห็นถึง "ช่องว่าง" ขนาดใหญ่ระหว่างปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ กับการรับรู้และความตระหนักของสังคมในวงกว้าง ภาพยนตร์จึงทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมช่องว่างนี้

ree
"ภาพยนตร์มันจะไปถึงจุดที่จะสร้างประโยชน์ก็ต่อเมื่อคนที่เอาไปใช้เขาตระหนักถึงปัญหา แล้วก็ขับเคลื่อนที่จะแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่องอย่างมีเป้าหมาย" - เรวดี ประเสริฐเจริญสุข ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

มุมมองเชิงเพศสภาพและผลกระทบต่อผู้หญิงและแม่

ประเด็นเรื่องเพศสภาพ โดยเฉพาะบทบาทของแม่ ได้รับการให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการเสวนา เนื่องจากภาพยนตร์ 2 ใน 4 เรื่องที่จัดฉายมีตัวละครแม่เป็นหัวใจสำคัญ คุณเรวดี ชี้ว่าผู้หญิง โดยเฉพาะคนที่เป็นแม่ มักเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบและแบกรับภาระหนักที่สุด ดังที่เห็นในเรื่อง "ม้ะ" ที่ผู้หญิงต้องทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น ขณะที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่ครอบครัวจะแตกสลายและวิถีชีวิตพังทลายลง


การวิพากษ์นโยบายภาครัฐและกระบวนการพัฒนา

คุณเรวดี ผู้ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชนมาอย่างยาวนาน ได้ให้มุมมองเชิงวิพากษ์ต่อนโยบายของรัฐ ซึ่งเป็นรากของปัญหาที่ปรากฏในภาพยนตร์


  • นโยบายที่ไม่ทั่วถึง: นโยบายและแผนงานของรัฐมักไม่ครอบคลุมหรือไม่เข้าใจชีวิตของคนในชุมชน ทั้งชาวประมง เกษตรกร หรือคนจนเมือง ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงมาตรการลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้


  • การพัฒนาที่ซ้ำเติมปัญหา: คุณกิตติคุณ (คิว) กล่าวเสริมว่า ปัญหาที่อ่าวปัตตานีเลวร้ายลงจาก "โครงการยักษ์ใหญ่โครงการหนึ่งจากทางรัฐ" ที่ดำเนินการโดยไม่เข้าใจบริบทและแก้ไขปัญหาไม่ถูกวิธี ซึ่งยิ่งซ้ำเติมผลกระทบที่มีอยู่แล้ว


  • ขาดมุมมองเชิงองค์รวม: คุณเรวดีเน้นย้ำว่า ความเสื่อมโทรมของอ่าวปัตตานี "ไม่ได้เกิดจากโลกร้อนที่เป็นหลัก" แต่เกิดจากการบริหารจัดการทรัพยากรและการพัฒนาที่ไม่เป็นองค์รวม ไม่ใส่ใจองค์ความรู้ชาวบ้าน และมองปัญหาแบบแยกส่วน


  • ช่องว่างทางกฎหมาย: กฎหมายปัจจุบันไม่เคยรับรอง "วิถีชีวิตชาวประมง" ของผู้หญิง ทำให้เมื่อเกิดเหตุร้าย พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในการช่วยเหลือเยียวยาได้เท่าที่ควร เนื่องจากไม่ได้เป็นเจ้าของเรือ


  • สิทธิชุมชน: ประเด็นการสร้าง "บ้านปลา" ในภาพยนตร์เรื่อง "ม้ะ" สะท้อนถึงปัญหาใหญ่เรื่อง สิทธิชุมชนในการเข้าถึงและบริหารจัดการทรัพยากร ซึ่งมักเกิดความขัดแย้งกับโครงการของรัฐที่ไม่ตรวจสอบพื้นที่ทับซ้อน


ree

แนวทางการใช้ประโยชน์จากภาพยนตร์และการขับเคลื่อนในอนาคต

ผู้ร่วมเสวนาและผู้จัดงานได้วางแนวทางที่ชัดเจนในการนำภาพยนตร์ไปใช้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบาย


สารคดี "ความฝันของม้ะ" มีแผนจะนำไปฉายในการประชุมของอ่าวปัตตานี เพื่อให้ทุกภาคส่วน ทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและประชาชน ได้เห็นภาพปัญหาร่วมกัน และในวงสนทนายังเสนอว่าสารคดี "เปลวไฟเมือง" กทม. ควรนำไปฉายในชุมชนต่างๆ ที่ประสบปัญหาคล้ายคลึงกัน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพูดคุยและหาทางออก


อีกทั้งทางผู้จัดยังมีความตั้งใจที่จะนำภาพยนตร์เหล่านี้ไปฉายให้ นักการเมือง พรรคการเมือง และหน่วยงานภาครัฐ ที่เกี่ยวข้องได้รับชม รวมถึงการจัดฉายใน รัฐสภา เพื่อกระตุ้นให้เกิดการทบทวนกรอบนโยบาย กฎหมาย และการจัดสรรทรัพยากรให้ใส่ใจรายละเอียดของปัญหาในระดับพื้นที่มากขึ้น เพื่อสร้างการตระหนักรู้และนำไปสู่การพูดคุยในวงของผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ตั้งแต่ระดับชุมชนไปจนถึงระดับชาติ




ความคิดเห็น


bottom of page