CCCL จับมือ UNDP จัดฉายหนังสั้นที่พิพิธตลาดน้อยภายใต้ BKKCAW
- Info CCCL Film Festival
- 17 ต.ค.
- ยาว 2 นาที
เมื่อช่วงวันหยุดของวันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา UNDP ได้จัดกิจกรรม “วาดโลกที่ฝัน รันเมืองที่รัก Draw your climate action, run your cities with your voices” ภายใต้งาน Bangkok Climate Action Week (BKKCAW) ที่พิพิธตลาดน้อย
ในงานประกอบด้วยกิจกรรมการนำเสนอแนวทางการรับมือโลกรวนจากโครงการ Youth Climate Box Contest จากเยาวชนจำนวน 9 โรงเรียน นอกจากนี้ ภายในบริเวณพื้นที่พิพิธตลาดน้อยยังมีกิจกรรมวาดโลกที่ฝัน บอกเมืองให้รู้ ซึ่งผู้เข้าร่วมกิจกรรมต่างให้ความสนใจมาร่วมกันวาดอนาคตเมืองกรุงเทพฯ บนผืนผ้าใบและท่อจำลองกันอย่างคับคั่ง รวมไปถึงมีบูธเวิร์คช็อปทำยาดม พวงกุญแจจากฝาพลาสติด และตลาดเล็ก ๆ ให้ผู้คนได้จับจ่ายใช้สอย ทั้งเครื่องดื่มและของที่ระลึกต่าง ๆ และยังมีวงดนตรีอะคูสติกร่วมร้องบรรเลงเพลงผ่อนคลายในช่วงพักของงานอีกด้วย
แม้ว่าจะมีฝนตกมาบ้างประปรายแต่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมก็ยังเดินทางเข้ามากันอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งท่ามกลางบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยาและพระอาทิตย์กำลังตกในช่วงเย็น มีวงเสวนา “พัก(ร้อน)ล้อมวงคุยโลกรวน (Climate Screen Talk: Framing Resilient Futures)” ซึ่งมีทั้งผู้แทนจากภาครัฐ ตัวแทนจากเยาวชน ภาคประชาสังคม และองค์กรเพื่อสังคมร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองซึ่งกันและกัน

ต่อจากนั้นเป็นช่วงการฉายหนังสั้นจาก CCCL และผลงานที่กำกับโดย CCCL Alumnus ใน “พัก(ความ)ร้อนด้วย 4 เรื่องที่อยากเล่าให้ดู” ได้แก่
1. ความฝันของม้ะ (‘MAA’--THE MOTHER’S DREAM) โดย กิตติคุณ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา (CCCL Alumnus)
หนึ่งวันของ ‘ก๊ะน๊ะ’ กับการเป็นแม่ในวันที่อ่าวปัตตานีเปลี่ยนไป
2. STARS ON THE SEA โดย JANG SEUNG-WOOK
มันก็เป็นเพียงวันธรรมดาอีกวันที่น้ำท่วมเจิ่งนองไปทั่วบ้าน
3. ชาวนานักวิจัย (THE FARMER) โดย สิริธารณ์ เลาวกุล
เชง คือ นักการเมืองท้องถิ่นรุ่นใหม่ที่จังหวัดนครสวรรค์ เมืองต้นกำเนิดแม่น้ำเจ้าพระยา เธอเคยประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต ปี 2554 น้ำท่วมบ้านของเธอ และชาวเมืองนครสวรรค์นานนับเดือน ในฐานะช่างภาพสารคดี ในคราบนักการเมืองท้องถิ่น เชงออกสำรวจเรื่องราวของกลุ่มชาวนาที่พยายามปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ทนต่อสภาพอากาศแปรปรวน ความแห้งแล้ง และทนต่อน้ำท่วมขัง ทว่าความพยายามของคนกลุ่มนี้กลับเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศ ซึ่งถ้ารัฐบาลดำเนินคดีกับชาวนานักปรับปรุงพันธุ์ข้าวกลุ่มนี้ ทุกคนจะติดคุก!
4. เปลวไฟในเมือง (URBAN FLAMES) โดย อฏวี โฆษิตปฏิพัทธ์
สารคดีที่จะพาคุณไปรับฟังเสียงจากผู้คนแทบทุกวัยในชุมชนแออัดย่านคลองเตยที่ต้องอดทนใช้ชีวิตอย่างยากลำบากท่ามกลางความอบอ้าวของเปลวแดดในฤดูร้อนของเมืองกรุง ชีวิตที่แร้นแค้น ความจำกัดจำเขี่ยของทรัพยากร รวมไปถึงความพยายามในการหยัดยืนขึ้นใหม่หลังเหตุอัคคีภัยที่เผาทำลายบ้านเรือนของผู้คนเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา

ปิดท้ายกิจกรรมด้วยวงเสวนา “ถาม-ตอบกับผู้กำกับสารคดีหลังดูเรื่องที่อยากเล่าให้ฟัง (Brown Bag Post-Screening Talk)” ซึ่งมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ คุณกิตติคุณ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ผู้กำกับสารคดี เรื่อง ความฝันของม๊ะ, คุณอฏวี โฆษิตปฏิพัทธ์ ผู้กำกับสารคดี เรื่อง เปลวไฟในเมือง, คุณเรวดี ประเสริฐเจริญสุข ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมี ดร. บุษกร สุริยสาร ผู้อำนวยการมูลนิธิต้นกล้ารักษ์โลกและหัวหน้าทีม CCCL เป็นผู้ชวนเสวนาในครั้งนี้
สรุปการเสวนา:
คุณอ๊อด ดร. บุษกร สุริยสาร ได้เปิดวงสนทนาด้วยการถามถึงแรงบันดาลใจในการทำสารคดีของผู้กำกับทั้งสองท่าน โดยคุณอะตอม อฏวี โฆษิตปฏิพัทธ์ ผู้กำกับสารคดีเรื่อง “เปลวไฟเมือง” ได้เล่าถึงแรงบันดาลใจว่า ที่ผ่านมาคุณอะตอมไม่เคยทำสารคดีมาก่อน และที่ตัดสินใจทำสารคดีเรื่องนี้เพราะว่าเกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงกับสภาพอากาศที่ร้อนจัดในกรุงเทพ ซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง 41-43 องศาเซลเซียส และในวันที่ 26 เมษายน 2024 ก็เกิดเหตุไฟไหม้ที่คลองเตยตามข่าวที่ปรากฏ ทำให้เกิดความสนใจว่า “ผู้คนที่ขาดโอกาส” หรือ "ตกหล่นจากสังคม" ในพื้นที่อย่างคลองเตย รับมือกับความร้อนสุดขั้วและเหตุการไฟไหม้นี้นี้อย่างไร

"มันเริ่มจากตัวผมเองที่รู้สึกว่าเมื่อปีที่แล้วมันร้อนมาก แบบร้อนมาก ๆ แล้วผมสนใจตรงนี้ว่า คนในชุมชนคลองเตยที่เป็นชุมชนแออัด เขาอยู่กับสภาพอากาศที่ร้อนจัดขนาดนี้ยังไง" - อฏวี โฆษิตปฏิพัทธ์ ผู้กำกับสารคดี เปลวไฟเมือง
ซึ่งคุณอะตอมตระหนักว่า "คนที่มีข้อจำกัดในการอยู่อาศัย" และ "ไม่ค่อยมีใครรับฟังเสียง" คือคนกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยตรงและรุนแรงที่สุด คุณอะตอมยังกล่าวถึงความขัดแย้งว่าในขณะที่ตัวเองนั่งตัดต่อสารคดีเรื่องนี้ในห้องแอร์ แต่ผู้คนในสารคดีกลับต้องเผชิญกับความร้อนและยากลำบากในชีวิตจริง
"มันรู้สึกขัดแย้งมากตรงที่ ในขณะที่ผมนั่งตัดต่อสารคดีเรื่องนี้ในห้องแอร์ แต่ผู้คนในสารคดีเขากำลังลำบากกันมาก” - อฏวี โฆษิตปฏิพัทธ์ ผู้กำกับสารคดี เปลวไฟเมือง
ในขณะเดียวกันคุณคิว กิตติคุณ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ผู้กำกับสารคดีเรื่อง “ความฝันของม้ะ” ก็ได้แบ่งปันถึงแรงบันดาลใจที่ทำสารคดีเรื่องนี้ว่า เริ่มต้นจากโจทย์กว้างๆ ในการเล่าเรื่องผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในพื้นที่อ่าวปัตตานี ซึ่งมีปัญหาหลากหลายมิติ แต่คุณคิวเลือกที่จะมุ่งเน้นไปที่ “มิติของครอบครัว” เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่เข้าถึงและสะท้อนใจผู้ชมได้ง่ายที่สุด โดยคุณคิวต้องการแสดงให้เห็นว่าผลกระทบที่ดูเหมือนอยู่ไกลตัวนั้น แท้จริงแล้วส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชีวิตของผู้คน ผ่านเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่กำลัง "แตกสลาย" โดยมี "แม่" เป็นศูนย์กลางของการต่อสู้กับปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้น
และยังมีเรื่องที่สะเทือนใจคุณคิวในระหว่างลงพื้นที่ถ่ายทำ มีชาวบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาจับมือแล้วถามว่า "คุณเรียนมาสูงกว่าเราตั้งเยอะ คุณบอกเราหน่อยว่าเราทำยังไงดีให้เราดีขึ้น" คำถามนี้ทำให้เขารู้สึกว่าหน้าที่ของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการ ส่องแสง ไปยังปัญหาของพวกเขา แม้จะไม่รู้คำตอบ แต่ตั้งใจจะทำหนังให้ดีที่สุดเพื่อให้มีคนเห็นว่า "มีมะอยู่ตรงนั้น"

“มีชาวบ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาจับมือแล้วถามว่า 'คุณเรียนมาสูงกว่าเราตั้งเยอะ คุณบอกเราหน่อยว่าเราทำยังไงดีให้เราดีขึ้น' ผมตอบเขาไปตรง ๆ ว่า 'ผมไม่รู้ครับ' แต่ผมรู้ว่าผมจะตั้งใจจะทำหนังเรื่องนี้ให้ดีที่สุดเพื่อให้แสงส่องมาถึงพวกเขาให้ได้” - กิตติคุณ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ผู้กำกับสารคดี ความฝันของม้ะ
บทบาทของภาพยนตร์ในการสร้างความตระหนักรู้และขับเคลื่อนสังคม
ผู้ร่วมเสวนาได้พูดถึงถึงศักยภาพของภาพยนตร์ที่สามารถเป็นได้มากกว่าความบันเทิง ภาพยนตร์สามารถเป็นเครื่องมือเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงได้
จุดเริ่มต้นของการสนทนา: คุณคิว ระบุว่าเป้าหมายสูงสุดของเขาคือการทำให้ภาพยนตร์เป็นจุดเริ่มต้นของการพูดคุย ไม่ว่าจะเป็นวงเล็กหรือวงใหญ่ หากภาพยนตร์สามารถทำให้คนสองคนคุยกันถึงปัญหานี้ และนำไปสู่การพูดคุยในครอบครัวหรือชุมชนต่อ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
การส่องแสงให้กลุ่มคนเปราะบาง: คุณเรวดี ชื่นชมผู้กำกับทั้งสองที่เลือกนำเสนอประเด็นของ "กลุ่มคนเปราะบาง กลุ่มคนที่โลกมองไม่เห็น กลุ่มคนที่นโยบายรัฐไม่เคยเข้าไปถึง" ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่มักมุ่งเน้นผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ
เชื่อมช่องว่างความเข้าใจ: การเสวนาชี้ให้เห็นถึง "ช่องว่าง" ขนาดใหญ่ระหว่างปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ กับการรับรู้และความตระหนักของสังคมในวงกว้าง ภาพยนตร์จึงทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมช่องว่างนี้

"ภาพยนตร์มันจะไปถึงจุดที่จะสร้างประโยชน์ก็ต่อเมื่อคนที่เอาไปใช้เขาตระหนักถึงปัญหา แล้วก็ขับเคลื่อนที่จะแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่องอย่างมีเป้าหมาย" - เรวดี ประเสริฐเจริญสุข ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
มุมมองเชิงเพศสภาพและผลกระทบต่อผู้หญิงและแม่
ประเด็นเรื่องเพศสภาพ โดยเฉพาะบทบาทของแม่ ได้รับการให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการเสวนา เนื่องจากภาพยนตร์ 2 ใน 4 เรื่องที่จัดฉายมีตัวละครแม่เป็นหัวใจสำคัญ คุณเรวดี ชี้ว่าผู้หญิง โดยเฉพาะคนที่เป็นแม่ มักเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบและแบกรับภาระหนักที่สุด ดังที่เห็นในเรื่อง "ม้ะ" ที่ผู้หญิงต้องทำงานตั้งแต่เช้าจรดเย็น ขณะที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่ครอบครัวจะแตกสลายและวิถีชีวิตพังทลายลง
การวิพากษ์นโยบายภาครัฐและกระบวนการพัฒนา
คุณเรวดี ผู้ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชนมาอย่างยาวนาน ได้ให้มุมมองเชิงวิพากษ์ต่อนโยบายของรัฐ ซึ่งเป็นรากของปัญหาที่ปรากฏในภาพยนตร์
นโยบายที่ไม่ทั่วถึง: นโยบายและแผนงานของรัฐมักไม่ครอบคลุมหรือไม่เข้าใจชีวิตของคนในชุมชน ทั้งชาวประมง เกษตรกร หรือคนจนเมือง ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงมาตรการลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้
การพัฒนาที่ซ้ำเติมปัญหา: คุณกิตติคุณ (คิว) กล่าวเสริมว่า ปัญหาที่อ่าวปัตตานีเลวร้ายลงจาก "โครงการยักษ์ใหญ่โครงการหนึ่งจากทางรัฐ" ที่ดำเนินการโดยไม่เข้าใจบริบทและแก้ไขปัญหาไม่ถูกวิธี ซึ่งยิ่งซ้ำเติมผลกระทบที่มีอยู่แล้ว
ขาดมุมมองเชิงองค์รวม: คุณเรวดีเน้นย้ำว่า ความเสื่อมโทรมของอ่าวปัตตานี "ไม่ได้เกิดจากโลกร้อนที่เป็นหลัก" แต่เกิดจากการบริหารจัดการทรัพยากรและการพัฒนาที่ไม่เป็นองค์รวม ไม่ใส่ใจองค์ความรู้ชาวบ้าน และมองปัญหาแบบแยกส่วน
ช่องว่างทางกฎหมาย: กฎหมายปัจจุบันไม่เคยรับรอง "วิถีชีวิตชาวประมง" ของผู้หญิง ทำให้เมื่อเกิดเหตุร้าย พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในการช่วยเหลือเยียวยาได้เท่าที่ควร เนื่องจากไม่ได้เป็นเจ้าของเรือ
สิทธิชุมชน: ประเด็นการสร้าง "บ้านปลา" ในภาพยนตร์เรื่อง "ม้ะ" สะท้อนถึงปัญหาใหญ่เรื่อง สิทธิชุมชนในการเข้าถึงและบริหารจัดการทรัพยากร ซึ่งมักเกิดความขัดแย้งกับโครงการของรัฐที่ไม่ตรวจสอบพื้นที่ทับซ้อน

แนวทางการใช้ประโยชน์จากภาพยนตร์และการขับเคลื่อนในอนาคต
ผู้ร่วมเสวนาและผู้จัดงานได้วางแนวทางที่ชัดเจนในการนำภาพยนตร์ไปใช้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบาย
สารคดี "ความฝันของม้ะ" มีแผนจะนำไปฉายในการประชุมของอ่าวปัตตานี เพื่อให้ทุกภาคส่วน ทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและประชาชน ได้เห็นภาพปัญหาร่วมกัน และในวงสนทนายังเสนอว่าสารคดี "เปลวไฟเมือง" กทม. ควรนำไปฉายในชุมชนต่างๆ ที่ประสบปัญหาคล้ายคลึงกัน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพูดคุยและหาทางออก
อีกทั้งทางผู้จัดยังมีความตั้งใจที่จะนำภาพยนตร์เหล่านี้ไปฉายให้ นักการเมือง พรรคการเมือง และหน่วยงานภาครัฐ ที่เกี่ยวข้องได้รับชม รวมถึงการจัดฉายใน รัฐสภา เพื่อกระตุ้นให้เกิดการทบทวนกรอบนโยบาย กฎหมาย และการจัดสรรทรัพยากรให้ใส่ใจรายละเอียดของปัญหาในระดับพื้นที่มากขึ้น เพื่อสร้างการตระหนักรู้และนำไปสู่การพูดคุยในวงของผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ตั้งแต่ระดับชุมชนไปจนถึงระดับชาติ




















ความคิดเห็น