CCCL ร่วมกับ Save the Children จัดกิจกรรมฉายหนังพร้อมเวทีเสวนา “Children in Focus: Climate Change Film Screening and Dialogue” ในสัปดาห์ Bangkok Climate Action Week (BKKCAW)
- Info CCCL Film Festival
- 10 ต.ค.
- ยาว 1 นาที
เมื่อช่วงบ่ายของวันพุธที่ 1 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา CCCL และเซฟ เดอะ ชิลเดรน ร่วมจัดกิจกรรมฉายภาพยนตร์สั้นและเวทีเสวนา “Children in Focus: Climate Change Film Screening and Dialogue” เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและเด็ก โดยกิจกรรมจัดที่ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

กิจกรรมเริ่มต้นที่การฉายหนัง 3 เรื่อง ที่สะท้อนถึงวิกฤตโลกรวนที่มีผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ ขยะ หรือความร้อนในเมือง ได้แก่
CONE (콘) โดย Yoo Ji-in
มินอู เด็กชายวัย 7 ขวบที่พยายามทำภารกิจ ‘ลดขยะ’ ประจำสัปดาห์ ซึ่งเป็นคำท้าจากรายการทีวีสำหรับเด็กที่เขาชอบดูอยู่เป็นประจำเพื่อรับของขวัญพิเศษที่ไม่เหมือนใคร
I WAS JUST A CHILD โดย Breech Asher Harani
ภาพยนตร์ใช้ศิลปะการแสดงหุ่นกระบอกเงาแบบโบราณในการบอกเล่าเรื่องราวของผู้คนในชุมชนที่ต้องเผชิญความทุกข์ทรมานทางจิตใจและร่างกายหลังจากเหตุการณ์พายุไต้ฝุ่นโบพาที่พัดถล่มฟิลิปปินส์ เมื่อปี พ.ศ. 2555 ทั้งนี้เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและอุณหภูมินํ้าทะเลที่สูงขึ้น พายุไต้ฝุ่นจึงเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหมายหมุดที่กำลังเตือนเราว่าสุขภาพของมนุษย์ขึ้นอยู่กับสุขภาพของโลก
URBAN FLAMES (เปลวไฟเมือง) โดย อฏวี โฆษิตปฏิพัทธ์
สารคดีที่จะพาคุณไปรับฟังเสียงจากผู้คนแทบทุกวัยในชุมชนแออัดย่านคลองเตยที่ต้องอดทนใช้ชีวิตอย่างยากลำบากท่ามกลางความอบอ้าวของเปลวแดดในฤดูร้อนของเมืองกรุง ชีวิตที่แร้นแค้น ความจำกัดจำเขี่ยของทรัพยากร รวมไปถึงความพยายามในการหยัดยืนขึ้นใหม่หลังเหตุอัคคีภัยที่เผาทำลายบ้านเรือนของผู้คนเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา
หลังจากการฉายหนังก็ได้มีการเสวนาถึงประเด็นในภาพยนตร์
ผู้ร่วมเสวนา:
ชัยพล จันทะวัง (ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมเด็กและเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อม)
ณฐพันธุ์ ชื่นหมี้ (ตัวแทนเด็กและเยาวชน)
ธนพล เขียวละม้าย (ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จาก เซฟ เดอะ ชิลเดรน)
สรุปการเสวนา:
เวทีเสวนานี้เปิดพื้นที่ให้ผู้แทนจากกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (DCCE), องค์กร Save the Children Thailand และตัวแทนเยาวชน ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองต่อบทบาทของเด็กและเยาวชนในการขับเคลื่อนนโยบายสิ่งแวดล้อมของประเทศ โดยมีสาระสำคัญคือการ “เปลี่ยนมุมมองจากเด็กคืออนาคต” มาสู่ “เด็กคือปัจจุบัน” ผู้มีสิทธิ์ร่วมตัดสินใจและออกแบบโลกที่พวกเขาต้องอาศัยอยู่ในวันนี้
“เมื่อก่อนเราบอกว่า เด็กคืออนาคต แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ เด็กคือปัจจุบัน เพราะว่าเขาควรมีสิทธิ์ในการกำหนดว่า อีก 5 ปี 10 ปี ข้างหน้าเขาอยากอยู่ในสิ่งแวดล้อมยังไง” - ชัยพล จันทะวัง ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมเด็กและเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อม
เด็กไม่ใช่อนาคต แต่คือผู้กำหนดปัจจุบัน
ผู้อำนวยการอู จากกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฯ กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงแนวคิดว่า “เมื่อก่อนเราบอกว่า Youth are future แต่ตอนนี้ เด็กคือปัจจุบัน เพราะเขามีส่วนร่วมในการกำหนดสิ่งแวดล้อมในอีก 5-10 ปีข้างหน้าได้” ขณะที่ตัวแทนเยาวชน “ชาร์มมี่” ชี้ให้เห็นว่าเด็กในยุคดิจิทัลมีความตระหนักรู้และเข้าถึงข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น แต่ยังรู้สึกว่าผู้ใหญ่จำนวนมาก “ยังไม่ใส่ใจจริงจัง” ต่ออนาคตที่เด็กจะต้องเผชิญ
เยาวชนมองเห็นปัญหาจากฐานราก
เสียงจากเยาวชนสะท้อนถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค ตั้งแต่มลพิษทางอากาศและฝุ่นควัน ไปจนถึงผลกระทบจากโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ เช่น โรงไฟฟ้าภาคใต้ที่ผลิตไฟเกินความจำเป็น สะท้อนว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่เพียงกระทบต่อทรัพย์สินหรือสุขภาพ แต่ยังลึกถึงระดับจิตใจ สังคม และคุณภาพชีวิตโดยรวม
“หนูรู้สึกว่าผู้ใหญ่หลายคนมักพูดว่าเด็กจะอยู่บนโลกนี้ได้นานกว่าผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่ไม่ได้คิดว่าเราจะตกอยู่ใน สภาพแวดล้อมแบบไหน จะใช้ชีวิตรอดหรือเปล่าในแต่ละวัน หนูอยากให้อนาคตเรามีทรัพยากรที่เพียงพอมากกว่านี้” - ณฐพันธุ์ ชื่นหมี้ ตัวแทนเด็กและเยาวชน
เชื่อมเสียงเยาวชนสู่นโยบายระดับชาติ
กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฯ มีบทบาทสำคัญในการนำข้อเสนอของเยาวชนเข้าสู่ แผนระดับชาติ อาทิ NDC (Nationally Determined Contribution), ACE (Action for Climate Empowerment) และ NAP (National Adaptation Plan) พร้อมตั้งเป้า “ยกระดับการมีส่วนร่วมของเยาวชน” จากผู้ฟัง ไปสู่ผู้กำหนดนโยบายอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ยังจัดเวทีรับฟังอย่าง Thailand Climate Action Conference เพื่อรวบรวมข้อเสนอโดยตรงจากเยาวชน และสื่อสารผลการดำเนินงานกลับไปยังกลุ่มผู้ร่วมเสนอ
ในอีกด้านหนึ่ง องค์กร Save the Children Thailand ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางและผู้สนับสนุน โดยมองว่าวิกฤตสภาพภูมิอากาศ “คือวิกฤตสิทธิ” ที่เชื่อมโยงโดยตรงกับสิทธิมนุษยชน องค์กรยังจัดกิจกรรมเชิงต่อเนื่อง เช่น เวที Roundtable ระหว่างเยาวชนและผู้กำหนดนโยบาย เพื่อสร้างพื้นที่สื่อสารอย่างมีความหมายและลดภาวะหมดไฟของเยาวชน
จากการตระหนักรู้สู่การลงมือทำ
การขับเคลื่อนสิ่งแวดล้อมต้องเริ่มจาก “การลงมือทำเล็กๆ” ในชีวิตประจำวัน เช่น การแยกขยะ การประหยัดพลังงาน หรือการปลูกต้นไม้ตามแนวคิด “One Child One Tree” รวมถึงโครงการระดับชุมชนอย่าง
โรงเรียนปลอดขยะ (Zero Waste School) ซึ่งประสบความสำเร็จในหลายจังหวัด เช่น ลำพูนที่ได้รับรางวัลเมืองสะอาด 4 ปีซ้อน
เสียงเรียกร้องเพื่อความยุติธรรมข้ามรุ่น
การเสวนาปิดท้ายด้วยแนวคิด “ความยุติธรรมข้ามรุ่น (Intergenerational Justice)” ซึ่งเน้นว่าการจัดการทรัพยากรในวันนี้ส่งผลโดยตรงต่อคนรุ่นถัดไป รวมถึงเด็กที่ยังไม่เกิด เยาวชนเรียกร้องให้ผู้ใหญ่ตระหนักถึงอนาคตที่พวกเขากำลังส่งต่อ และร่วมเปลี่ยนจาก “การตระหนักรู้” สู่ “การลงมือทำจริง”
“ผมอยากจะฝากว่าอย่าให้มันจบที่การเสวนานี้นะครับ เราไม่ใช่แค่เข้าใจหรือแค่ตระหนักรู้ แต่ว่ามันต้องนำไปสู่การทำจริง นำไปสู่การปฏิบัติถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลง” - ธนพล เขียวละม้าย ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จาก เซฟ เดอะ ชิลเดรน
เสียงของเยาวชนไม่ใช่เพียงเสียงสะท้อนจากอนาคต แต่คือแรงขับเคลื่อนของปัจจุบัน ที่ต้องการให้สังคมยอมรับพวกเขาในฐานะ “ผู้ร่วมกำหนดโลก” การสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนจึงต้องเริ่มจากการเปิดพื้นที่ รับฟัง และร่วมลงมือทำ ไม่ใช่แค่เพื่อเด็กในวันหน้า แต่เพื่อโลกของเราทุกคนในวันนี้.






ความคิดเห็น