CCCL จัดฉายสารคดี Black Butterflies พร้อมเสวนาประเด็นสภาพภูมิอากาศกับผู้หญิง เยาวชน และกลุ่มคนเปราะบางในกิจกรรม “Mothers Beyond Borders”
- Info CCCL Film Festival
- 9 ต.ค.
- ยาว 1 นาที
ระหว่างวันที่ 30 กันยายน - 4 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา CCCL จัดกิจกรรม CCCL Film Festival at BKKCAW ในงาน Bangkok Climate Action Week โดยความร่วมกับ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร JUTI Save the Children Thailand กรีนพีซ ประเทศไทย สถานทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย และเครือข่ายคนทำหนัง มีทั้งกิจกรรมฉายหนัง เสวนา และมาสเตอร์คลาสพิเศษตลอดระยะเวลา 5 วัน

โดยในค่ำคืนวันอังคารที่ 30 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา CCCL ได้ร่วมมือกับ SiamANIMA โดยการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตสเปนประจำประเทศไทย นำเสนอกิจกรรมพิเศษ Black Butterflies: Mothers Beyond Borders จัดฉายภาพยนตร์เรื่อง BLACK BUTTERFLIES กำกับโดย David Baute เล่าเรื่องราวของโลบูอิน วาเนสซา และโซมา ผู้หญิงสามคนจากต่างมุมโลกที่สูญเสียทุกอย่างเพราะวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีหนังสั้นเรื่อง STARS ON THE SEA กำกับโดย JANG Seung-wook ฉายแปะหน้า
หลังจบการฉาย CCCL จัดวงสนทนากับ ดร. ภาวิญญ์ เถลิงศรี (ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม) คุณมัสลิน วนาเนติกุล (Save the Children) และคุณมาริสา ยาแปงกู่ (Center for Girls Foundation) ชวนคุยโดย ณัฐธิดา รัตนสวัสดิ์ (Thai CLIMATE JUSTICE for All) ซึ่งแต่ละท่านได้แลกเปลี่ยนความเห็นตรงกันว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เกิดความรู้สึก "จุก" และสะเทือนใจ เน้นย้ำถึงผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศและการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมต่อกลุ่มคนเปราะบาง โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็ก

"แม้หยุด [ทำร้ายโลก] วินาทีนี้เลย แต่ผลกระทบที่มันเกิดขึ้นแล้ว... มันจะอยู่กับเราไปอีกเป็นร้อยๆ ปี" - ดร. ภาวิญญ์ เถลิงศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านวิกฤตโลกรวน
ผู้หญิงในแนวหน้าของวิกฤต
วิกฤตสภาพภูมิอากาศยังซ้ำเติมช่องว่างทางเพศ ผู้หญิงมักเผชิญความยากลำบากมากกว่าผู้ชาย ทั้งในบทบาทการเป็นแม่และผู้ดูแลครอบครัว หลายคนต้อง “แลกด้วยชีวิต” เพื่อปกป้องอนาคตของลูกหลาน การอพยพย้ายถิ่นฐานยังส่งผลให้ชุมชนสูญเสียภูมิคุ้มกันทางวัฒนธรรม ขณะที่ในอีกมุมหนึ่ง ผู้หญิงจำนวนมากกลายเป็น “ผู้นำแนวหน้า” ของการรับมือในชุมชน

“โลกที่รวนอยู่ในปัจจุบัน อนาคตมันก็จะเป็น Loss of biodiversity (การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ) ซึ่งก็ส่งผลต่อไปในเรื่องอื่นๆ ซึ่งในบริบทของคนชาติพันธุ์ สิ่งที่เรากำลังเจอที่เชียงรายมันมีข้อกังวลว่าจะส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิง ในอนาคตอัตราการคลอดบุตรหรือว่าการแท้งของผู้หญิงมันอาจจะมากขึ้น” - มาริสา ยาแปงกู่ จากมูลนิธิศูนย์เพื่อน้องหญิง ตัวแทนเยาวชนในเครือข่าย
มองไทย: วิกฤตที่ซึมลึก
ในประเทศไทย วิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ได้รุนแรงฉับพลันเหมือนในภาพยนตร์ แต่ “ค่อยๆ ซึมลึก” ผ่านปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วมซ้ำซาก และการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ ชุมชนไทยหลายแห่งตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงนี้และมีแนวทางรับมือของตนเอง ทว่าความรุนแรงในไทยมักอยู่ในรูป “ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง” จากนโยบายรัฐหรือโครงการพัฒนา ที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางโดยตรง
แม้ความตระหนักเรื่องสิทธิสตรีและเด็กจะเพิ่มขึ้น สแต่นโยบายรัฐยังไม่เพียงพอต่อการปกป้องกลุ่มเปราะบางในสถานการณ์วิกฤต การพึ่งพารัฐเพียงฝ่ายเดียวจึงอาจไม่ใช่คำตอบ
“ตัวเมืองเชียงรายมีน้ำท่วมหนักที่สุดในรอบ 50 ปี มันเป็นเหมือน Wake up call ว่ามันเกิดกำลังเกิดขึ้นแล้วนะ” - มาริสา ยาแปงกู่ จากมูลนิธิศูนย์เพื่อน้องหญิง ตัวแทนเยาวชนในเครือข่าย

ทางรอดจากฐานราก
การสนับสนุนควรเริ่มจากสิ่งที่ “ชุมชนต้องการจริง” เพราะพวกเขารู้วิธีรับมือดีที่สุด พร้อมส่งเสริมให้เกิดการปรับตัวและอยู่ร่วมกับปัญหาอย่างยั่งยืน การใช้ความรู้ด้าน STEM ก็เป็นอีกแนวทางสำคัญ โดยเฉพาะในโครงการที่ช่วยให้ผู้หญิงเข้าถึงเทคโนโลยี เช่น ระบบเตือนภัยน้ำท่วมหรือการพัฒนาอาชีพเพื่อสร้างเศรษฐกิจชุมชนที่แข็งแรง ขณะเดียวกัน รัฐควรยกระดับปัญหาสิ่งแวดล้อมบางพื้นที่ เช่น การปนเปื้อนสารเคมีในเชียงราย ให้เป็นวาระแห่งชาติ
“การอพยพย้ายถิ่นฐานมันมีข้อดีและมีข้อจำกัดของมัน ข้อดีก็คือเราพยายามหาที่อยู่ใหม่ที่จากเดิมไม่มีแหล่งน้ำที่เพียงพอ เราก็อพยพย้ายออกไปเพื่อมีชีวิตที่ดีกว่า แต่ข้อข้อเสียของมันคือภูมิภูมิคุ้มกันในเชิงวัฒนธรรม ความเชื่อ ขนบประเพณีที่เขาเคยมีอยู่ พอเขาเหล่านี้อพยพย้ายออกไปคนละทิศคนละทาง มันจะทำให้เขาเหล่านี้ยิ่งเปราะบางมากขึ้นแทนที่จะอยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อน” - ดร. ภาวิญญ์ เถลิงศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านวิกฤตโลกรวน
เสียงจากเยาวชน: เปลี่ยนโลกด้วยการมีส่วนร่วม
มาริสา ยาแปงกู่ กลุ่มเยาวชนและชาติพันธุ์เสนอให้สร้าง “การศึกษาที่ครอบคลุมทุกพื้นที่” เพื่อเพิ่มความเข้าใจเรื่องสภาพภูมิอากาศ และจัดกิจกรรมลักษณะ “Climate Festival” ในระดับจังหวัด รวมถึงเปิด “พื้นที่การมีส่วนร่วม” ให้ผู้หญิง เด็ก และกลุ่มชาติพันธุ์ร่วมกำหนดปัญหาและแนวทางแก้ไขร่วมกัน
นอกจากนี้ เยาวชนยังเรียกร้องให้นวัตกรรมไม่จำเป็นต้องเป็นเทคโนโลยีใหญ่โต แต่ควรนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาพัฒนาใหม่ เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและความยั่งยืนในชุมชน พร้อมย้ำว่า “นายทุน”ในภาคเอกชนควรรับผิดชอบต่อผลกระทบและมลพิษที่ตนสร้าง
วิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็น “ความจริงที่กำลังดำเนินอยู่” การเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องเริ่มจากฐานรากของชุมชน พร้อมแรงผลักดันจากนโยบายระดับชาติ และความรับผิดชอบร่วมกันจากทุกภาคส่วน เพื่อให้โลกยังคงเป็นบ้านที่อยู่ได้ของทุกชีวิต







ความคิดเห็น